
เทคนิคการเลือกซื้อชาเขียว ชาเขียวจีน กับชาเขียวญี่ปุ่น ต่างกันอย่างไร
คุณกำลังมองหาชาเขียวอยู่ใช่ไหม หากยังไม่รู้ถึงความแตกต่างของ ชาเขียวจีนกับชาเขียวญี่ปุ่น วันนี้เรามี เทคนิคการเลือกซื้อชาเขียว มาแบ่งปันกัน ถึงแม้คุณจะรู้ถึงความแตกต่างแล้ว คุณ ก็ยังลังเลอยู่ว่าจะเลือกชาเขียวชนิดไหน และ ชาเขียวจีนกับชาเขียวญี่ปุ่นก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองแต่คุณก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี
แต่ถ้าคุณกำลังมองหาคำแนะนำอยู่ละก็ เราจะให้คำแนะนำกับคุณเอง ใน หัวข้อ “ ชาเขียวจีน กับชาเขียวญี่ปุ่น ต่างกันอย่างไร ความแตกต่างที่ช่วยให้คุณเลือกง่ายขึ้น ” ก่อนที่จะเริ่ม ้เราต้องบอกคุณไว้ก่อนว่า ส่วนประกอบของใบชาเหมือนกันก็จริง แต่การปลูก การดูแล และสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศนั้น ๆ ต่างกัน อาจจะส่งผลต่อรสชาติและกลิ่นของชาได้ ซึ่งหลาย ๆ ที่ โดยส่วนมากใช้กรรมวิธีในการผลิตที่แตกต่างกัน
ความต่างของชาเขียว แต่ละแบบ
1. ชาเขียวจีน นั้น มีกรรมวิธีการบ่มด้วยความร้อนสูง
ความแตกต่างของชาเขียวจีนกับชาเขียวญี่ปุ่นนั้น คือกรรมวิธีในการผลิต แต่ที่เหมือนกันคือเรื่องของการใช้ความร้อน โดยจะใช้ความร้อนคนละระดับกัน

“ ใบชาเขียวของจีน “ นั้นจะใช้ความร้อนสูงในการรักษาใบชา หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วออกซิไดซ์แล้วนั้น จะนำเอาใบชาเขียวไปคั่วในกะทะร้อน จนใบชาแห้งสนิท กรรมวิธีนี้ สีของใบชาจะออกสีดำ เหมือนกันใบชาไหม้ แต่ความจริงไม่ไหม้ ด้วยวิธีการนี้เลยทำให้ใบชาไปถึงจุดออกซิเดชั่นอย่างรวดเร็ว ใบชาจะไม่เสียรสชาติไป และนั้นก็หมายความว่าใบชาจะไม่สามารถคั่วทิ้งไว้เป็นเวลานานได้ และต้องคั่วให้ทั่วและสม่ำเสมอ

“ แต่ใบชาเขียวญี่ปุ่น “ นั้น ค่อยข้างแตกต่างออกไป หลังเก็บใบชาแล้วจะไม่ออกซิไดซ์ทันที แต่จะนำมานึ่งก่อน เพื่อบ่มใบชา ซึ่งกรรมวิธีการแบบนี้จะคงสีของใบชาให้สดใหม่ไว้ เหมือนกับการลวกผัก และใบชาเหล่านั้นจะถูกปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ซึ่งต่างจากจีน ใบชาของญี่ปุ่นนั้น จะมีการออกซิไดซ์น้อย และ ขมน้อยกว่าใบชาของจีน
2. ใบชาเขียวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ปลูกในที่ร่ม

เมื่อคุณซื้อใบชามาคุณจะมองเห็นสีของใบชาก่อนเป็นอันดับแรกไม่ว่าจะเป็นชาเขียวจีน หรือ ชาเขียวญี่ปุ่น ดังนั้นใบชาที่ปลูกในร่มตั้งแต่แรก สีจะต่างจากใบชาที่ปลูกโดนแดดตลอดเวลา
ชาที่ปลูกในร่มจะมีสีที่สดใสกว่า และ ละเอียดอ่อน นอกจากนี้ยังมีราคาที่แพงกว่าเนื่องจากต้องได้รับการดูแลที่ดี และยังต้องใช้คนงานจำนวนมาก
นอกจากนี้ชาเขียวญี่ปุ่นก็ไม่ได้ปลูกในร่มทุกชนิด ยังมีบางชนิดที่ปลูกกลางแจ้ง เหมือนกับชาจีนชนิดอื่น ๆ
ปัญหาของใบชาที่ปลูกกลางแสงแดด คือใบชาอาจจะไหม้ ช้ำแดด และ แห้ง ซึ่ง ส่งผลให้ได้ผลผลิตน้อย
3. ชาเขียวจีนธรรมดาหาง่าย

ใบชาเขียวจีนนั้นหาง่ายเพราะว่า ชาเขียวจีนนั้น สามารถนำไปปลูกได้เกือบทุกประเทศและกรรมวิธีการผลิตนั้นไม่ยุ่งยากและ ไม่ต้องใช้คนดูแลมาก และ เมื่อผ่านกรรมวิธีการผลิตแล้ว สามารถนำมาชงง่ายและ ไม่ต้องกังวลถึงรสชาติของชา
4. ชาเขียวญี่ปุ่นมีรสชาติให้เลือกแบบจำกัด
ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างคือระหว่างชาเขียวจีนกับชาเขียวญี่ปุ่น ชาเขียวญี่ปุ่นนั้นมีให้เลือกน้อยกว่า เพราะว่าพวกเขานั้นให้ความสำคัญกับการรักษารสชาติ ” ดั้งเดิม “ ไว้ ดังนั้นจะหาชาเขียวรสชาติอื่น ๆ ได้ยาก จากชาเขียวญี่ปุ่น แต่ในทางกลับกันนั้นชาเขียวจีนมีรสชาติให้เลือกมากมายและ ยังมีอื่น ๆ และ ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงอาจจะยากไปสักหน่อยที่จะลองชิมให้ครบทุกอย่างของชาเขียวจีน และชาเขียวจีนนั้นได้เป็นต้นฉบับให้แก่ชาอื่น ๆ ที่มีการพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ
คุณควรเลือกชาเขียวแบบไหน
ชาเขียวชนิดไหนที่คุณกำลังตามหา ชาเขียวที่มีหลากหลายรสชาติ หรือ ชาเขียวที่มีรสชาติแบบดั้งเดิม ชาเขียวที่มีสีสด ชาเขียวที่ไม่มีความขม ชาเขียวที่หอมจากการคั่ว และชาเขียวในรูปแบบอื่น ๆ
แต่คุณจะหาซื้อที่ไหนล่ะ
” คุณสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Bluemocha ของเรา และ นอกจากชาเขียวที่เรานำเสนอ ยังมีชาแดงหรือชาไทย ชาไต้หวัน ชาอื่น ๆ โกโก้ กาแฟ และ อื่น ๆอีก มายมาย
สามารถมาทดสอบรสชาติ กลิ่น สี ได้ที่ร้าน หรือ จะให้เราส่งตัว TEST ไปให้คุณดีล่ะ “
เลือกชาเขียวตัวไหนดี ? เปรียบเทียบ 7 ชาเขียวจากโรงงานชาเหนือ
ยุคนี้ชาเขียวไม่ได้มีแค่แบบเดียว! ยิ่งใครเป็นสาวกชาเขียว ยิ่งต้องรู้ว่าชาเขียวแต่ละแบบ แต่ละสายพันธุ…
สร้างแบรนด์ชาเขียวพรีเมียม จากโรงงานชาเชียงใหม่ ครบจบในที่เดียว!
คุณเคยฝันอยากมีแบรนด์ชาเขียวเป็นของตัวเองไหม? ยุคนี้ใคร ๆ ก็หันมาดื่มชาเขียว เพราะนอกจากจะอร่อยแล้ว …
เปรียบเทียบชาญี่ปุ่น 3 ประเภท Ujicha Matcha Hojicha ต่างกันอย่างไร ?
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ชาญี่ปุ่นกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ไม…